Warning: Creating default object from empty value in /home/www/virtual/mz-thailand.com/htdocs/modules/mod_roktabs/helper.php on line 249
You are here: HomeMZ-Test DriveTest DriveTEST DRIVE : เมอร์เซเดส-เบนซ์ E200 EXECUTIVE ประหยัดน้ำมัน...สมรรถนะเยี่ยม

Warning: Creating default object from empty value in /home/www/virtual/mz-thailand.com/htdocs/modules/mod_roktabs/helper.php on line 249

Warning: Creating default object from empty value in /home/www/virtual/mz-thailand.com/htdocs/modules/mod_roktabs/helper.php on line 249

Warning: Creating default object from empty value in /home/www/virtual/mz-thailand.com/htdocs/modules/mod_roktabs/helper.php on line 249

Warning: Creating default object from empty value in /home/www/virtual/mz-thailand.com/htdocs/modules/mod_roktabs/helper.php on line 249

TEST DRIVE : เมอร์เซเดส-เบนซ์ E200 EXECUTIVE ประหยัดน้ำมัน...สมรรถนะเยี่ยม

1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 Rating 4.00 (8 Votes)

สำหรับคนที่กำลังมองหารถยนต์หรูไว้ใช้ซักคัน คงหนีไม่พ้นค่ายดาวสามแฉก เมอร์เซเดส-เบนซ์ และในปี 2555 ที่ผ่านมา เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ได้เปิดตัวนตรกรรมรุ่นใหม่ๆ เข้าสู่ตลาดประเทศไทยหลากหลายรุ่นด้วยกัน พร้อมกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมยานยนต์ใหม่ๆ อย่างสม่ำเสมอ

 

ซึ่งสามารถตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์และความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม รวมทั้งยังสามารถครองความเป็นผู้นำตลาดรถหรูในประเทศไทยเป็นปีที่ 12 ติดต่อกัน โดยมียอดขายรวมอยู่ที่ 6,274 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้านี้ถึง 34% ซึ่งรถยนต์รุ่น C-Class และ E-Class ยังคงเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมมากที่สุด

รถเมอร์เซเดส-เบนซ์ E-Class นับเป็นอีกรุ่นที่คนไทยชื่นชอบมายาวนาน เนื่องจากเป็นรถคอมแพ็คคาร์ที่มีขนาดตัวถังก้ำกึ่งระหว่างขนาดกลางและใหญ่ ทำให้รถเมอร์เซเดส-เบนซ์ E-Class มีรูปลักษณ์ที่ไม่เล็กและไม่ใหญ่จนเกินไป ขณะเดียวกัน E-Class จัดเป็นรถซีดานระดับหรูหรารองจาก S-Class เป็นซีดานรุ่นที่ใหญ่และหรูหราที่สุดของเมอร์เซเดส เบนซ์

และในช่วงต้นปี 2556 ที่ผ่านมา บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้เปิดตัว The new E-Class ถึงสามรุ่นใหม่ ได้แก่ E200 EXECUTIVE , E300 BlueTECHYBRID Executive และE300 BlueTEC HYBRID AMG Dynamic

 

 

ปรับรูปลักษณ์เป็นสปอร์ตซีดาน

รถเมอร์เซเดส-เบนซ์ The new E-Class ได้รับการปรับโฉมใหม่ ซึ่งรูปลักษณ์ภายนอกด้านหน้าที่ได้รับการปรับเปลี่ยนมากที่สุด คือ แผงกระจังหน้า และ โคมไฟคู่หน้า โดยกระจังหน้าในรุ่นตกแต่งแบบ Executive เป็นแบบลาย 3 แถบพร้อมตราสัญลักษณ์เมอร์เซเดส-เบนซ์บนฝากระโปรงหน้า และในรุ่นที่ตกแต่งแบบAMG Dynamic จะเป็นกระจังหน้าลาย2แถบพร้อมตราสัญลักษณ์เมอร์เซเดส-เบนซ์ดวงใหญ่ตรงกลาง

ส่วนลายเส้นนูนด้านข้างได้รับการดีไซน์ใหม่ให้เกิดพริ้วไหวและมิติด้านข้างสวยงาม ทำให้สัดส่วนรถดูยาวและหรูหราขึ้น พร้อมกับโฉบเฉี่ยว ปราดเปรียวในขณะเดียวกัน ที่โดดเด่นคือการนำไฟแบบ LEDมาใช้อย่างเต็มรูปแบบ ไฟหน้าเป็นแบบ LED High Performanceไฟท้ายแบบ LED fibre-opticโคมไฟคู่หน้าได้รับการออกแบบใหม่หมด โดยรวมชุดไฟLEDทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว เช่น ไฟต่ำ ไฟสูง ไฟเลี้ยว และไฟ daytime ทำให้เกิดลายเส้นกราฟฟิคสวยงามสะดุดตามากขึ้นซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกด้วยเช่นกันที่โคมไฟแบบ  LEDได้รับการออกแบบให้อยู่รวมในกรอบเดียวกัน และยังคงเป็นการสื่อถึง “ไฟคู่หน้า” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ดั้งเดิมของ E-Classไว้เหมือนเดิม

 

 

ภายในคงความความหรูหรา

ภายในห้องโดยสารได้มีการปรับให้มีความผสานกลมกลืนสวยงามเข้ากับรูปลักษณ์ภายนอกที่ปรับเปลี่ยนไป โดยการนำวัสดุมีคุณภาพสูงมาใช้ให้ดูหรูหราขึ้น ส่วนเบาะหุ้มหนังพร้อมด้วยพนักพิงศีรษะคู่หน้าแบบ NECK-PRO head restraints รวมถึงแผงคอนโซลหน้าพร้อมลายไม้แบบhigh-gloss brown eucalyptus , high-gloss brown burr walnut หรือ high-gloss black ash wood นาฬิกาได้รับการดีไซน์เป็นแบบอนาล็อกอยู่ระหว่างช่องระบายความเย็นเครื่องปรับอากาศ ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติแบบ THERMATIC

นอกจากนั้นยังมีระบบมัลติมีเดีย COMAND Onlineควบคุมการทำงานของวิทยุและดีวีดี สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต พร้อม controller และ ระบบนำทางnavigation system ในรุ่น E 300 BlueTEC HYBRID Executiveและ E 300 BlueTEC HYBRID AMG Dynamic รวมทั้งระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่ผ่านบลูทูธ เพื่อให้ความสะดวกสบายในการสื่อสารมากยิ่งขึ้น

 

เพียบพร้อมด้วยระบบความปลอดภัย

เมอร์เซเดส-เบนซ์ The new E-Class มาพร้อมกับเทคโนโลยีระบบความปลอดภัยใหม่ที่ผสานความสะดวกสบายและความปลอดภัยเข้าไว้ด้วยกันซึ่งเรียกว่าระบบ “Intelligent Drive” เพื่อให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้รับความปลอดภัยสูงสุด ด้วยระบบการช่วยเหลือและระบบความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ จึงทำให้ The new E-Class เป็นยานยนต์ที่มีความปลอดภัยมากที่สุดคันหนึ่งในเซ็กเม้นท์นี้

ระบบ “Intelligent Drive” มีพื้นฐานมาจากแนวคิดการปกป้องก่อนเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุเข้าไว้ด้วยกันภายใต้ระบบควบคุมอัจฉริยะเพียงหนึ่งเดียวที่ทำงานสอดประสานกัน ไม่ว่าจะเป็นระบบปกป้องก่อนเกิดเหตุ (PRE-SAFE® system) เข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด5 ที่นั่งทั้งคู่หน้าและคู่หลังแบบผ่อนแรงและรั้งกลับอัตโนมัติ พนักพิงศีรษะคู่หน้าแบบ NECK-PRO head restraints ที่ช่วยลดอาการบาดเจ็บกรณีที่ถูกชนจากด้านหลัง ถุงลมนิรภัยด้านหน้า2 ตำแหน่ง พร้อมเซ็นเซอร์วัดแรงปะทะและการคาดเข็มขัดนิรภัย ถุงลมนิรภัยด้านข้าง 4 ตำแหน่ง ม่านถุงลมนิรภัยป้องกันศีรษะ ถุงลมนิรภัยบริเวณสะโพก 2 ตำแหน่งสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ซึ่งช่วยเสริมการปกป้องให้มีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อเกิดอุบัติเหตุ

นอกจากนั้นยังมีระบบความปลอดภัยอื่นๆ อีกมากมาย เช่น ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่  (ATTENTION ASSIST) ระบบช่วยเตือนการขับรถให้อยู่ในช่องทาง (Lane Keeping Assist) และระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ (Active Parking Assist)

 

เครื่องยนต์ใหม่ประหยัดน้ำมัน

The new E-Class ในรุ่น E200  EXECUTIVE จะใช้เครื่องยนต์แบบเบนซินแถวเรียง 4 สูบ เทอร์โบ พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ 2.0 ลิตร 184 แรงม้าที่ 5,500 รอบ/นาที มีแรงบิดสูงสุดที่ 300 นิวตัน-เมตร ที่ 1,200 -4,000 รอบ/นาที มีอัตราการเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใช้เวลาเพียง 7.9 วินาที มีความเร็วสูงสุดประมาณ 233 กิโลเมตร/ชั่วโมง มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันโดยเฉลี่ย 16.39-17.24 กิโลเมตร/ลิตร โดยมีหัวฉีดชนิด piezo ซึ่งสามารถฉีดเชื้อเพลิงเข้าห้องเผาไหม้โดยตรง ด้วยแรงดันเชื้อเพลิงสูงสุดอยู่ที่ 200 บาร์ และเป็นเทคโนโลยีแบบเดียวกันที่ใช้กับเครื่องยนต์ V6 และ V8 รุ่นใหม่ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ โดยได้นำมาใช้กับเครื่องยนต์ 4 สูบเป็นครั้งแรก

นอกจากนี้เทคโนโลยีที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ใหม่นี้ รวมถึงจังหวะการฉีดเชื้อเพลิงและจุดระเบิดแบบหลายครั้งติดต่อกันตรงสู่ห้องเผาไหม้ทำให้การเผาไหม้สมบูรณ์ขึ้น ระบบช่วยประจุอากาศด้วยเทอร์โบชาร์ทเจอร์เพลาลูกเบี้ยวที่สามารถปรับองศาการเปิด-ปิดของวาล์วไอดีและไอเสีย รวมถึงการควบคุมแรงดันของปั๊มน้ำมันเครื่องยนต์ให้เหมาะสมกับรอบเครื่องยนต์ส่งผลให้เครื่องยนต์ใหม่มีสมรรถนะเพิ่มขึ้น และมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 135-142 กรัม/กิโลเมตร

ขณะที่ในรุ่น E 300 BlueTEC HYBRID นับเป็นรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ รุ่นแรกในประเทศไทยที่ได้ใช้เครื่องยนต์ไฮบริดดีเซล ซึ่งเทคโนโลยี BlueTEC HYBRID เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ซึ่งเป็นการผสมผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์ดีเซลกับมอเตอร์ไฟฟ้าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดพลังงานและให้ประสบการณ์การขับขี่ที่ดียิ่งขึ้น ด้วยเครื่องยนต์ที่มีขนาดเล็กลง การออกสตาร์ทที่เงียบ และช่วยลดการสันดาปของเครื่องยนต์

พร้อมด้วยฟังก์ชั่น ECO Start/Stopที่ช่วยประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้น แต่ยังคงให้พละกำลังเช่นเดิม โดยองค์ประกอบต่างๆ ของระบบไฮบริด เช่น ระบบไฟฟ้าในห้องเครื่องยนต์สามารถผสานรวมกับเครื่องยนต์สันดาปภายในได้โดยตรงโดยมีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง 23.81-24.39 กม./ลิตร หรือคิดเป็น 1.23-1.26 บาท/กม. เท่านั้น(คำนวณจากราคาน้ำมันดีเซล  ณ วันที่ 11 มีนาคม 2556) และมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์107-110กรัม/กม. ผ่านกำลังเกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 7จังหวะ (7G-TRONIC PLUS) 

 

TEST DRIVE

เมื่อวันที่ 4-5 พฤศจิกายน 2556 บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้เชิญ  “MZ-THAILAND” ร่วมทดสอบรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ ในรูปแบบ “Mercedes-Benz The new E-Class Family Test Drive” ในเส้นทางกรุงเทพฯ – จังหวัดตรัง รวมระยะทางกว่า 800 กิโลเมตร

รถเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่ “ดอกเบี้ย” ได้ทดสอบ คือ รุ่น The new E-Class E200 EXECUTIVE โดยจุดเริ่มต้นของการทดสอบมีขึ้นที่อาคารรัจนาการบนถนนสาทร แล้วขับมุ่งหน้าไปทางพระราม 2 เพื่อมุ่งสู่ทางลงใต้ ซึ่งในช่วงของการขับขี่ในเมืองพบว่า ด้วยเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร 184 แรงม้า ส่งผลทำให้การขับขี่ง่าย เครื่องยนต์ให้อัตราการเร่งออกตัวที่ดี แม้ว่าตัวรถจะมีขนาดใหญ่และน้ำหนักเยอะ แต่ด้วยพละกำลังของเครื่องยนต์ที่มีมากทำให้ขับขี่ง่าย

ขณะที่เมื่อลองขับขี่นอกเมือง พบว่าเมื่อขับขี่ในย่านความเร็วประมาณ 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง ตัวรถยังให้ความรู้สึกว่านิ่ง และรวมไปถึงระบบช่วงล่างให้ความรู้สึกว่านิ่มเหมาะกับสไตล์การขับขี่สำหรับคนมีอายุ ส่วนความเร็วสูงสุดสามารถทำได้เกิน 200 กิโลเมตรได้อย่างสบาย ด้านพวงมาลัยให้ความแม่นยำ และรวมไปถึงหากต้องการขับแบบในโหมดสปอร์ตก็สามารถเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift พร้อมระบบมัลติฟังก์ชั่นบนพวงมาลัย ห้องโดยสารกว้างขวางสะดวกสบายทุกที่นั่ง

ขณะที่การทดสอบเมอร์เซเดส-เบนซ์ E200  EXECUTIVE ส่วนใหญ่ใช้ความเร็วในการเดินทาง 120-160 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันแสดงผลอยู่ที่เฉลี่ย 12 กิโลเมตร/ชั่วโมง ถือว่ามีความประหยัดน้ำมันพอสมควร ซึ่งถ้าหากใช้ความเร็วเฉลี่ยแบบคงที่น่าจะให้ความประหยัดน้ำมันมากกว่านี้

สรุปโดยรวมแล้ว รถเมอร์เซเดส-เบนซ์ E200 EXECUTIVE คันนี้ นอกจากเรื่องของความโดดเด่นในเรื่องของสมรรถนะเครื่องยนต์แล้ว ด้านระบบความปลอดภัยก็ให้มาแบบครบครัน เริ่มตั้งแต่ เข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด5 ที่นั่งทั้งคู่หน้าและคู่หลังแบบผ่อนแรงและรั้งกลับอัตโนมัติ , พนักพิงศีรษะคู่หน้าแบบ NECK-PRO head restraints , ถุงลมนิรภัยด้านหน้า2 ตำแหน่ง พร้อมเซ็นเซอร์วัดแรงปะทะและการคาดเข็มขัดนิรภัย , ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ , ระบบช่วยเตือนการขับรถให้อยู่ในช่องทาง และ ระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ เหมาะสำหรับคนที่กำลังมองหารถยนต์หรู แต่เพียบพร้อมด้วยความสะดวกสบายและความปลอดภัย

สำหรับราคาจำหน่ายรถ เมอร์เซเดส-เบนซ์ E200 EXECUTIVE เคาะราคาจำหน่ายที่ 3.390 ล้านบาท , รุ่น E200 Coupe AMG Dynamic ราคา 3.790 ล้านบาท และ E200 Cabriolet AMF Dynamic ราคา 3.990 ล้านบาท ส่วนรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ ในรุ่น E300 BlueTec Hybrid Executive ราคา 3.690 ล้านบาท และ รุ่น E300 BlueTec Hybrid AMG Dynamic ราคา 4.090 ล้านบาท

Pretty

Race Queen Chang Super GT Race 2019 อีกหนึ่งสีสันของการแข่งขันช้าง ซูเปอร์จีที เรซ... Read more
Race Queen Super GT Race 2018 ประมวลภาพเรซควีนสาวสวยสุดน่ารักจากญี่ปุ่นกว่าร้อยชีวิตจากขอบสนาม การ... Read more