บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ได้เชิญทีมงาน MZ-THAILAND ร่วมกิจกรรมทดสอบขับฮอนด้า CR-V ท้าลมหนาว ที่ได้เติมน้ำมันเชื้อเพลิง E 85 เพื่อทดสอบสมรรถนะและการใช้เชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อวันที่ 29-30 ตุลาคม 2556 ที่ผ่านมา บนเส้นทางเชียงใหม่ – เชียงราย รวมระยะทางเกือบ 500 กิโลเมตร พร้อมสัมผัสบรรยากาศอันงดงามของธรรมชาติบนดอยอ่างขาง
ดีไซน์ภายนอกแบบ Premium Smart SUV
รูปลักษณ์ภายนอก ที่เพิ่มความแข็งแกร่ง หรูหรา สง่างาม แต่ยังคงความโฉบเฉี่ยวในแบบรถสปอร์ต อเนกประสงค์ โครงสร้างตัวรถมีการยกระดับความแข็งแกร่งแบบ Unit-body ที่พัฒนาเชิงวิศวกรรมแบบใหม่ทั้งหมด ส่งผลให้ CR-Vใหม่เป็นรถสปอร์ตอเนกประสงค์ที่มีความเพรียวลมมากที่สุด สำหรับดีไซน์ภายนอกตัวรถโดยรวมเน้นอารมณ์สปอร์ต แข็งแกร่งและดุดัน มีการดีไซน์ไฟหน้าใหม่แบบโปรเจคเตอร์ขนาดใหญ่ กระจังหน้าใหม่แบบ 3 ชั้นพร้อมคิ้วโครเมียม ไฟตัดหมอกรูปวงรี รวมไปถึงกระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว ไฟท้ายและไฟเบรกแบบมัลติรีเฟล็กเตอร์ตั้งขนานกับแนวเสาหลังคา ตลอดจนการใช้เสาอากาศแบบครีบ และล้ออัลลอย 5 ก้านขนาดใหญ่
ความยอดเยี่ยมในด้านทัศนวิสัยการขับขี่เป็นผลมาจากการออกแบบที่ลงตัวของฮอนด้า และถือเป็นจุดเด่นหลักของ CR-Vใหม่ โดยมาพร้อมกับแนวเส้นสายตาทั้งด้านหน้าและหลังที่เอื้อประโยชน์ต่อผู้ขับขี่ ซึ่งรวมถึงการกำหนดระดับของจุดสายตาและระยะมองทางด้านหน้าซึ่งมีลักษณะที่สั้น ความยาวของระยะการมองได้รับการปรับปรุงตรงส่วนบริเวณมุมแต่ละฝั่งบนฝากระโปรงหน้าของ CR-Vใหม่ ทำให้ผู้ขับขี่สามารถมองเห็นสิ่งที่ใกล้กับกันชนหน้ามากขึ้น
ภายในหรูหรามากขึ้น
การออกแบบภายใน เน้นความพรีเมี่ยมมีระดับ ห้องโดยสารเน้นความโปร่งและกว้างขวาง ครบครันด้วยประโยชน์ใช้สอย เลือกใช้วัสดุคุณภาพสูง และเทคโนโลยีล้ำสมัย ลดระดับของเสียงรบกวน ให้ความรู้สึกสะดวกสบายนุ่มนวลเหมือนขับรถซีดานตลอดการเดินทาง อีกหนึ่งจุดเด่นของ CR-Vใหม่อยู่ที่การออกแบบการปรับพนักพิงของเบาะที่นั่งด้านหลังแบบใหม่ ให้สามารถแยกพับลงได้แบบ 60:40 จนเกือบแบนราบเป็นระนาบเดียวกับพื้นที่เก็บสัมภาระได้อย่างง่ายดายเพียงดึงคันโยกหรือสายด้านข้างเพียงครั้งเดียว (One Motion)
เครื่องยนต์ 2.4 ลิตร 5 สปีด
เครื่องยนต์ 4 สูบ 16 วาล์ว แบบ DOHC i-VTEC ขนาด 2.4 ลิตร กำลังสูงสุด 170 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที และให้แรงบิดสูงสุดที่ 220 นิวตัน-เมตร (22.4 กก.-ม.) ที่ 4,300 รอบต่อนาที ะขับเคลื่อน 4 ล้อ มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด ทำงานร่วมกับระบบควบคุมการเปิด-ปิดลิ้นปีกผีเสื้อแบบอิเล็กทรอนิกส์ DBW ในการควบคุมการถ่ายทอดกำลังระหว่างเกียร์ในตำแหน่งต่างๆ ให้มีความต่อเนื่องและนุ่มนวล ระบบ Grade Logic Control ในการควบคุมการทำงานของเกียร์ทำหน้าที่ในการรักษาตำแหน่งเกียร์ที่เหมาะสมที่สุดในระหว่างการขับขี่บนเขาเพื่อลดการเปลี่ยนเกียร์ที่ไม่จำเป็น
CR-Vใหม่ ยังคงจุดเด่นในเรื่องของความโอ่อ่าด้วยพื้นที่ศีรษะในห้องโดยสารที่โปร่ง มีพื้นที่ความจุมากถึง 589 ลิตร เบาะนั่งทำด้วยวัสดุหนังดีไซน์ใหม่ โอบกระชับให้ความรู้สึกเหมือนนั่งในรถซีดาน ระบบปรับอากาศแบบ Dual Zone พร้อมช่องปรับอากาศสำหรับเบาะนั่งด้านหลัง
ครบครันด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น หน้าจอแสดงข้อมูลแบบอัจฉริยะ i-MID แผงมาตรวัดแบบเรืองแสง ระบบเนวิเกเตอร์พร้อมเครื่องเล่น DVD และระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย Bluetooth ผสานระบบเครื่องเสียงที่มีโหมดการปรับความดังของเพลงอัตโนมัติตามความเร็วของรถยนต์ (Speed-Sensitive Volume Control: SVC) รวมไปถึงระบบสตาร์ทเครื่องยนต์แบบอัจฉริยะ One Push Ignition System และระบบควบคุมประตูแบบอัจฉริยะ Honda Smart Key System ทั้งยังเพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น ระบบช่วยการขับขี่แบบประหยัดน้ำมัน Eco Assist / ECON Mode
ระบบความปลอดภัยครบครัน
เพื่อสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับกลุ่มตลาดรถสปอร์ตอเนกประสงค์ในประเทศไทย เช่น ระบบโครงสร้างตัวถังนิรภัย G-CON ระบบควบคุมการทรงตัว VSA พร้อมระบบช่วยควบคุมการบังคับพวงมาลัย MA-EPS ระบบป้องกันล้อล็อค ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill Start Assist ระบบถุงลมคู่หน้าปกป้องการชนทางด้านหน้า ระบบถุงลมนิรภัยด้านข้างสำหรับเบาะคู่หน้า พร้อมระบบตรวจสอบตำแหน่งท่านั่งของผู้โดยสารด้านหน้า (Occupant Position Detection System: OPDS) และกุญแจรีโมทนิรภัย Immobilizer
นอกจากนี้ CR-V นับเป็นรถยนต์ที่มีระบบความปลอดภัยชั้นยอด โดยล่าสุดได้รับการจัดอันดับความปลอดภัยโดยรวมระดับ 5 ดาว จาก The National Highway Traffic Safety Administration (NHTSA) สหรัฐอเมริกา และยังได้รับคะแนนระดับดีจากทุกการทดสอบจาก The Insurance Institute for Highway Safety (IIHS) รวมถึงได้รับเลือก Top Safety Pick และCR-Vในทุกเจเนอเรชั่นยังได้รับรางวัลมากกว่า 130 รางวัลจากทั่วโลก
PRESS TRIP
กิจกรรมการทดสอบขับรถฮอนด้า CR-V ในครั้งนี้ ทางฮอนด้าได้จัดทริปแบบพิเศษโดยการขับรถฮอนด้า CR-V รับลมหนาวแรกทางภาคเหนือ เพื่อสัมผัสบรรยากาศความหนาวเย็นบนยอดดอยอ่างขาง จ.เชียงใหม่ โดยจุดสตาร์ทรถมีขึ้นที่สนามบินเชียงใหม่ โดยทริปนี้ทางฮอนด้าได้นำ CR-V มาให้ผู้สื่อข่าวทดสอบ 10 คัน 2 รุ่น ได้แก่ รุ่น 2.0 ลิตร และ 2.4 ลิตร และแต่ละคันจะมีคนนั่ง 4 คนเพื่อผลัดกันขับ โดยใช้การจับฉลากเลือกรถเพื่อความเป็นธรรม ทีมงาน MZ-THAILAND และสื่อมวลชนอีก 3 ท่าน จับฉลากได้รถ CR-V รุ่น 2.4 ขับเคลื่อน 4 ล้อ
รถฮอนด้า CR-V ที่ทางฮอนด้านำมาทดสอบได้เติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 มาแบบเต็มถัง โดยจุดหมายปลายทางแรกขแงทริปนี้ คือ ร้านกาแฟม่อนระมิงค์ โดยมีระยะทางประมาณกว่า 40 กิโลเมตร นับว่าเป็นจุดแวะพักรถที่ครบครันทุกบริการ นอกจากจะมีร้านกาแฟแล้ว ยังมีศูนย์อาหารและร้านเครื่องดื่มให้บริการนักท่องเที่ยวอีกด้วย
เสร็จจากร้านกาแฟม่อนระมิงค์ ก็เดินทางกันต่อเพื่อไปรับประทานอาหารกลางวันที่ เชียงคำหลวง รีสอร์ท มีแวดล้อมที่เต็มไปด้วยพรรณไม้อันเขียวขจีสวยงามท่ามกลางธรรมชาติ เสร็จจากรับประมานอาหารกลางวันก็เดินทางกันต่อโดยมีจุดหมายปลายทางที่บ้านไม้หอมฮิโนกิ อ.ไชยปราการ ซึ่งเป็นบ้านของ คุณอนิรุทธิ์ แซ่จึง ซึ่งเป็นผู้นำเข้าไม้หอมฮิโนกิ จากประเทศลาวอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ฮิโนกิ (Hinoki) คือ ชื่อเรียกตามภาษาญี่ปุ่น ซึ่งหมายถึงต้นไม้จำพวกสนชนิดหนึ่ง ที่มีชื่อเสียงอย่างมากในญี่ปุ่น ชาวญี่ปุ่นถือว่าเป็นไม้มงคล ที่ประสาทโอซาก้า และวัดอาซากุสะที่ญี่ปุ่นก็สร้างด้วยไม้ชนิดนี้เช่นกัน ด้วยลักษณะที่โดนเด่นคือ ต้นฮิโนกิมีลักษณะลำต้นสูงตรง ทนทาน ทนต่อความชื้น มีคุณสมบัติตามธรรมชาติในการต้านเชื้อรา และแมลง ได้เป็นอย่างดี เพราะว่าในเนื้อไม้จะมียางไม้ที่คอยส่งกลิ่นอ่อนๆออกมา ซึ่งเป็นกลิ่นที่แมลงไม่ชอบ
คุณอนิรุทธิ์ แซ่จึง เจ้าของบ้านหลังนี้เล่าถึงแรงบันดาลใจว่า....ช่วงไปเรียนที่ประเทศญี่ปุ่น ได้ไปชมพระราชวังอิมพิเรียล ซึ่งสร้างด้วยไม้ฮิโนกิ แม้ว่าอาคารนี้จะมี อายุที่ยาวนาน พอเข้าไปในข้างในได้สัมผัสกับความหอมของเนื้อไม้จึงเกิดความประทับใจ และ ตั้งความหวังไว้ในใจว่าหากมีโอกาสจะสร้างบ้านด้วยไม้ชนิดนี้ให้จงได้พอกลับ มาเมืองไทยขึ้นไปประกอบอาชีพทางภาคเหนือ จึงเก็บหอมรอมริบและ นำไม้ชนิดนี้เข้ามาสร้างบ้านจนสำเร็จ ขึ้นมาได้ตามความตั้งใจ โดยมีขนาดพื้นที่ใช้สอย 1,600 ตารางเมตร ห้องรับแขก ห้องพระ ห้องนอน ห้องน้ำ ระเบียง เพดาน ใช้ไม้ฮิโนกิสร้างทั้งหมด... ราคา (เงินไทย) เป็นเลข 9 หลัก (ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://bannmaihomhinokichaiprakarn.com)
เยี่ยมชมบ้านไม้หอมฮิโนกิเป็นที่เรียบร้อย ก็ออกเดินทางกันต่อเพื่อไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์โครงการหลวง เป็นโครงการส่วนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการส่งเสริมการปลูกพืชเมืองหนาวแก่ชาวเขา เพื่อเป็นการหารายได้ทดแทนการปลูกฝิ่น ก่อตั้งเมื่อปี 2512 โดยหม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี เป็นผู้รับผิดชอบในฐานะประธานมูลนิธิโครงการหลวง
ในระยะแรก เป็นโครงการอาสาสมัคร โดยมีอาสาสมัคร จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สถาบันเทคโนโลยีการเกษตรแม่โจ้ กรมวิชาการเกษตร กรมปศุสัตว์ และกองทัพอากาศ ปัจจุบันโครงการหลวง ดำเนินงานใน 4 จังหวัดภาคเหนือ คือ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน พะเยา และแม่ฮ่องสอน มีสถานีวิจัยหลัก 4 สถานี และสถานีส่งเสริมปลูกพืชทดแทนฝิ่น เรียกว่า ศูนย์พัฒนาโครงการ จำนวน 21 ศูนย์ และหมู่บ้านพัฒนาอีก 6 หมู่บ้าน รวมหมู่บ้านในเขตปฏิบัติการทั้งสิ้น 267 หมู่บ้าน
ผลผลิตจากโครงการหลวงในปัจจุบัน ประกอบด้วย ผักปลอดภัยสารพิษ สมุนไพร ถั่วและธัญพืช ผลไม้ เห็ด ดอกไม้เมืองหนาว ผลิตผลปศุสัตว์ ผลิตผลประมง ผลิตผลป่าไม้ ดอกไม้แห้ง ผลิตภัณฑ์จากแฝก ไม้กระถาง และผลิตภัณฑ์แปรรูปในชื่อการค้า โครงการหลวงและ ดอยคำ (ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org)
เสร็จสิ้นจากการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์โครงการหลวง ก็เดินทางสู่จุดหมายปลายทางสุดท้ายที่ดอยอ่างขาง มีระยะทางห่างจากโครงการหลวง 15 กิโลเมตร คำว่า "อ่างขาง" ภาษาเหนือหมายถึง อ่างรูปสี่เหลี่ยมตามลักษณะของดอยอ่างขาง ซึ่งเป็นดอยที่มีรูปร่างของหุบเขา ยาวล้อม รอบประมาณ 5 กิโลเมตร กว้าง 3 กิโลเมตร ตรงกลางของอ่างขางเดิมเป็นภูเขาสูง เช่นเดียวกับบริเวณโดยรอบ แต่เนื่องจากเป็นภูเขาหินปูน เมื่อถูกน้ำฝนชะก็จะค่อย ๆ ละลายเป็นโพรงแล้วยุบตัวลงกลายเป็นแอ่ง มีพื้นที่ราบ ความกว้างไม่เกิน 200 เมตร ซึ่งเป็นที่ตั้งของ สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง
บนดอยอ่างขาง มีสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ซึ่งเป็นสถานีวิจัยแห่งแรกของโครงการหลวง ตั้งอยู่ตำบลแม่งอน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ มีความสูงจากระดับน้ำทะ 1,400 เมตร และมียอดดอยสูงถึง 1,928 เมตร พื้นที่รับผิดชอบประมาณ 26.52 ตารางกิโลเมตร หรือ 16,577 ไร่ จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2512 ตามแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ว่า "ให้เขาช่วยตัวเอง" เปลี่ยนพื้นที่จากไร่ฝิ่นมาเป็นแปลงเกษตรเมืองหนาว ที่สร้างรายได้ดีกว่าเก่าก่อน
เรื่องกำเนิดของ สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง แห่งนี้ เป็นเกร็ดประวัติเล่ากันต่อมาว่า ครั้งหนึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จทางเฮลิคอปเตอร์ผ่านยอดดอยแห่งนี้ และทอดพระเนตรลงมาเห็นหลังคาบ้านคนอยู่กันเป็นหมู่บ้าน จึงมีพระดำรัสสั่งให้เครื่องลงจอด เมื่อเสด็จพระราชดำเนินลงมาทอดพระเนตรเห็นทุ่งดอกฝิ่น และหมู่บ้านตรงนั้นก็คือหมู่บ้านของชาวเขาเผ่ามูเซอ ซึ่งในสมัยนั้นยังไว้แกละถักเปียยาว แต่งกายสีดำ สะพายดาบ ทำการปลูกฝิ่นแต่ยังยากจน ทั้งยังทำลายทรัพยากรป่าไม้ ต้นน้ำลำธารที่เป็นแหล่งสำคัญต่อระบบนิเวศน์ ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อส่วนอื่น ๆ ของประเทศได้ พระองค์มีพระราชดำรัสที่จะแปลงทุ่งฝิ่นให้เป็นแปลงเกษตร
จึงทรงมีพระราชดำริว่าพื้นที่นี้มีภูมิอากาศที่หนาวเย็น มีการปลูกฝิ่นมาก ไม่มีป่าไม้อยู่เลย และสภาพพื้นที่ไม่ลาดชันนัก ประกอบกับพระองค์ทรงทราบว่า ชาวเขาได้เงินจากฝิ่นเท่ากับที่ได้จากการปลูกท้อพื้นเมือง และทรงทราบว่าที่สถานีทดลองไม้ผลเมืองหนาว ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ทดลองวิธีติดตา ต่อกิ่งกับท้อฝรั่ง จึงสละพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน 1,500 บาท เพื่อซื้อที่ดินและไร่ในบริเวณ ดอยอ่างขาง ส่วนหนึ่ง
จากนั้นจึงโปรดเกล้าฯ ตั้งโครงการหลวงขึ้นเป็นโครงการส่วนพระองค์ เมื่อปี 2512 โดยทรงแต่งตั้งให้ หม่อมเจ้า ภีศเดช รัชนี เป็นผู้สนองพระบรมราชโองการในตำแหน่งมูลนิธิโครงการหลวง ใช้เป็นสถานีวิจัยและทดลองปลูกพืชเมืองหนาวชนิดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นไม้ผล ผัก ไม้ดอกเมืองหนาว เพื่อเป็นตัวอย่างแก่เกษตรกรชาวเขา ในการนำพืช เหล่านี้มาเพาะปลูกเป็นอาชีพ ซึ่งต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้พระราชทานนามว่า "สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง" (ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://travel.kapook.com) หลังจากเยี่ยมชมดอยอ่างขางแบบจุใจเป็นที่เรียบร้อยก็แวะรับประทานอาหารเย็นที่สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง พร้อมเข้าที่พักรีสอร์ทธรรมชาติ ดอยอ่างขาง ตามอัธยาศัย
เช้าวันรุ่งขึ้นก็ออกเดินทางกันต่อที่สวนส้มธนาธร ก่อตั้งโดยคุณบัณฑูร จิระวัฒนากูล สวนส้มธนาธรนัมเบอร์ 1 สายน้ำผึ้ง ส้มฟรีมองต์ ส้มโอเชี่ยนฮันนี่ไร้เมล็ด ส้มผิวทอง ที่สลับกันออกผลตลอดทั้งปี โดยเฉพาะช่วงฤดูหนาว ประกอบด้วย 2 สวนคือ สวนส้มธนาธร 2 (บ้านลาน) เริ่มเพาะปลูกในปี 2527 ในพื้นที่อำเภอฝาง บนพื้นที่กว่า 700 ไร่ โอบล้อมด้วยธรรมชาติขุนเขา และวิวทิวทัศน์ที่งดงามของสวนส้มที่ออกผล ให้ความรู้ในเรื่องการปลูกส้มแก่ผู้ที่สนใจ ชมวิธีการปลูกมีผักไฮโดรโพนิกส์ ชิมผักสลัดสด และเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สดใหม่จากสวน ทางสวนมีบริการรถเรือและรถกอล์ฟนำชมพื้นที่ค่าบริการ 30 บาท/คน
สวนธนาธร 8 หรือสวนท่าตอน เพาะปลูกครั้งแรกเมื่อปี 2535 ตั้งอยู่ที่ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย บนพื้นที่ประมาณ 450 ไร่ เพาะปลูกส้ม 2 สายพันธุ์ ได้แก่ส้มสายน้ำผึ้งและโอเชี่ยนฮันนี่ไร้เมล็ด พื้นที่เป็นเนินเขามีจุดชมวิวมองเห็นแม่น้ำกก สามารถนั่งรถเรือชมทิวทัศน์ภายในสวนและเลือกเก็บส้มสด ๆ จากต้น เลือกซื้อของฝากจากร้านขายของที่ระลึก อาทิ ส้มสดจากสวน เทียนหอม กระเป๋า เป็นต้น (ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://thai.tourismthailand.org)
ที่สุดท้ายที่เราจะไปก็คือ ตลาดแม่สาย-ท่าขี้เหล็ก ซึ่งเป็นจังหวัดชายแดนของพม่า จำหน่ายสินค้านานาชนิด ประเภทอัญมณี พลอยสี ทับทิม หยก เครื่องใช้ไฟฟ้าคุณภาพต่ำ ราคาถูกจากประเทศจีน อาหารทะเลแห้ง เหล้า บุหรี่ (ซึ่งมักเป็นของปลอม) เมื่อข้ามมาฝั่งท่าขี้เหล็กจะมีรถสามล้อเชิญชวนให้นั่งรถไปท่องเที่ยวเจดีย์ชเวดากองจำลอง ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปจากชายแดนประ-มาณ 2 กม. ลักษณะเป็นเจดีย์สีทองแบบพม่า สร้างจำลองมาจากเจดีย์ชเวดากองที่เมืองย่างกุ้ง ราคา 50-80 บาท นอกจากนี้ยังมีมอเตอร์ไซค์รับจ้างพาไปยังจุดต่าง ๆ เช่นตลาดพลอย 20 บาท แต่ควรตกลงราคาก่อนว่าเป็นราคาเที่ยวเดียว หรือราคาเหมา
ตลาดแม่สายเป็นตลาดการค้าชายแดนที่มีชื่อเสียงมานานหลายสิบปี เนื่องจากชาวพม่าและชนกลุ่มน้อยจะเข้ามาซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคต่าง ๆ จากฝั่งไทยอย่างคึกคัก นักท่องเที่ยวสามารถเดินข้ามไปท่องเที่ยวท่าขี้เหล็กได้โดยไม่ต้องออกหนังสือผ่านแดน ภายหลังเกิดการรบพุ่งระหว่างรัฐบาลพม่ากับกองกำลังชนกลุ่มน้อย และกลายเป็นปัญหาขัดแย้งระหว่างสองประเทศ จึงมีการปิดด่านอยู่เนือง ๆ แต่ก็มีการเจรจาจนสถานการณ์คลี่คลายไปด้วยดี อย่างไรก็ตามปัญหาชนกลุ่มน้อย ยาเสพติด ทำให้การผ่านแดนต้องเป็นไปอย่างเข้มงวด คนไทยจึงต้องทำหนังสือผ่านแดนหากต้องการไปท่องเที่ยวที่ท่าขี้เหล็ก (ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.cots.go.th/)
สรุปโดยรวมแล้ว ทริปทดสอบขับฮอนด้า CR-V ท้าลมหนาว ได้รับรู้ถึงสมรรถนะของเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร แม้ว่าการทดสอบในครั้งนี้ทางทีมงานฮอนด้าได้เติมน้ำมัน E85 แต่อัตราการเร่งออกตัวหรือการเร่งแซงแทบไม่แตกต่างกันมากนัก โดยอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันแสดงผลบนจออยู่ที่เฉลี่ย 10 กิโลเมตร/ลิตร ก็ถือว่ามีความประหยัดน้ำมัน เพราะการเดินทางในทริปนี้ส่วนใหญ่จะขึ้น-ลงเขา ทำให้ต้องใช้พละกำลังของเครื่องยนต์บ่อยครั้ง แต่ก็สามารถผ่านได้อย่างสบาย