เมื่อช่วงที่ผ่านมา บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ได้เชิญ MZ-THAILAND ร่วมกิจกรรมทดสอบรถฮอนด้า ซีวิค ไฮบริดใหม่ ที่ได้เปิดตัวเมื่อเดือนกุมภพันธ์ 2556 ที่ผ่านมา บนเส้นทางกรุงเทพฯ – ดอนหอยหลอด จ.สมุทรสงคราม รวมระยะทางเกือบ 300 กิโลเมตร
สำหรับรูปลักษณ์ภายนอกของรถฮอนด้า ซีวิค ไฮบริด ใหม่คันนี้ ดูผิวเผินถือว่าไม่แตกต่างไปจากรุ่นซีวิค ธรรมดา 1.8 มากนัก มีเพียงแค่กระจังหน้า ไฟหน้าโปรเจคเตอร์พร้อมกรอบสีฟ้า และไฟท้ายแอลอีดีพร้อมเลนส์สีเคลียร์บลู สปอยเลอร์หลัง และล้ออัลลอยดีไซน์พิเศษ ที่แตกต่างกัน
เข้ามาที่ภายในห้องโดยสาร สิ่งที่แตกต่างจากรุ่นซีวิค ธรรมดา 1.8 คือ หน้าจอแสดงข้อมูลแบบอัจฉริยะ หรือ i-MID (Intelligent Multi-Information Display) ซึ่งเป็น Smart Interface ที่ผู้ขับขี่สามารถควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ตามความต้องการของผู้ขับขี่ รวมไปถึงระบบ Eco Assist ระบบแนะนำการขับขี่แบบประหยัดเชื้อเพลิงมากยิ่งขึ้น
เครื่องยนต์ของรถฮอนด้า ซีวิค ไฮบริด ยังคงใช้ระบบการทำงานแบบคู่ขนาน ผสานการทำงานของเครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบ 8 วาล์ว i-VTEC 1.5 ลิตร SOHC และมอเตอร์ไฟฟ้าไฮบริดแบบ IMA สมรรถนะเครื่องยนต์ให้แรงบิดสูงสุดที่ 132 นิวตัน-เมตร ที่ 2,800 รอบต่อนาที กำลังสูงสุด 91 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที และมอเตอร์ไฟฟ้าให้แรงบิดสูงสุดที่ 106 นิวตัน-เมตร ที่ 500-1,546 รอบต่อนาที กำลังสูงสุด 23 แรงม้า ที่ 1,546-3,000 รอบต่อนาที
โดยหลักการทำงานของเครื่องยนต์จะทำหน้าที่หลักในการขับเคลื่อน และเสริมแรงด้วยพลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการออกตัว และเร่งแซง เมื่อขับขี่ด้วยความเร็วต่ำคงที่ เครื่องยนต์จะหยุดทำงาน และเข้าสู่ EV Mode โดยมอเตอร์ไฟฟ้าจะทำหน้าที่หลักในการขับเคลื่อนเพียงอย่างเดียว ซึ่งในขณะที่เครื่องยนต์เข้าสู่ EV Mode นี้ จะไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา ช่วงลดความเร็วหรือเบรก เครื่องยนต์จะหยุดทำงาน ระบบจะนำพลังงานที่สูญเสียไปในขณะเบรกมาเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าส่งกลับคืนสู่แบตเตอรี่ไฮบริด เพื่อเก็บพลังงานไว้ใช้ต่อไป และเมื่อรถหยุด เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าจะหยุดทำงานอัตโนมัติและเข้าสู่โหมด Idling Stop เพื่อช่วยประหยัดน้ำมัน และลดมลพิษ
จุดสตาร์ทการทดสอบรถฮอนด้า ซีวิค ไฮบริด ใหม่ในครั้งนี้ มีขึ้นที่ ศูนย์ฝึกอบรมทักษะฮอนด้าที่บางชัน โดยใช้รถฮอนด้า ไฮบริด นุ่น NAVI โดยขับขึ้นทางด่วนมอเตอร์เวย์ บางนา-บางปะอิน และไปต่อทางด่วนบางพลี-สุขสวัสดิ์ ซึ่งถนนในช่วงเวลา 10 โมงกว่าในวันนั้น นับว่าจำนวนรถบนถนนมีจำนวนมากพอสมควร ทำให้ใช้ความเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง เมื่อลองหันมาดูจอแสดงผลอัตราการใช้น้ำมันพบว่า จอแสดงผลโชว์อัตราการใช้น้ำมันอยู่ที่ประมาณ 18-19 กิโลเมตร/ลิตร ถือว่ามีความประหยัดน้ำมันเมื่อเทียบกับขนาดรถยนต์
อัตราการเร่งการออกตัวของ ซีวิค ไฮบริด ถือว่าไม่อืดเมื่อเทียบกับน้ำหนักตัวรถที่เพิ่มขึ้นมา 20 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับรุ่นซีวิค 1.8 ขณะเดียวกันหากขับขี่ด้วยความเร็วประมาณ 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง แล้วกดคันเร่งคลิ๊กดาวน์เพื่อเร่งแซงก็ยังมีอัตราเร่งได้ดีไม่แพ้ในรุ่นซีวิค 1.8 ขณะที่น้ำหนักพวงมาลัยในการหักเลี้ยวไป-มานั้น พบว่ามีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมาเมื่อเทียบกับ รุ่นซีวิค 1.8 ทำให้การหักเลี้ยวพวงมาลัยมีน้ำหนักกำลังพอดีมือ
ในส่วนของระบบช่วงล่างของ ซีวิค ไฮบริด ด้านหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สัน สตรัท อิสระ พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นแบบมัลติลิงค์ อิสระ พร้อมเหล็กกันโคลง ซึ่งในส่วนของระบบช่วงล่างทางวิศวกรฮอนด้าได้ปรับเซ็ทโช็คอัพให้มีความแข็งขึ้นและรวมไปถึงค่า K ของสปริงก็ได้มีการปรับให้สอดรับกับโช็คอัพ เพื่อรองรับน้ำหนักตัวรถที่เพิ่มขึ้นมา 20 กิโลกรัม ทำให้รถคันนี้มีความนิ่มนวลน้อยลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ ซีวิค 1.8 รุ่นธรรมดา ด้านระบบเบรกด้านหน้าเป็นแบบดิสก์เบรกแบบมีช่องระบายความร้อน ส่วนด้านหลังเป็นดรัมเบรก ซึ่งยังให้การเบรกที่ดีเยี่ยม
สรุปโดยรวมแล้ว รถฮอนด้า ซีวิค ไฮบริด ใหม่คันนี้ ถือว่าเป็นรถที่ให้ความประหยัดน้ำมัน ขับขี่ใช้งานได้ไม่ว่าจะในเมืองหรือนอกเมือง ซึ่งหากเจอสภาพเส้นทางถนนบางแห่งที่รถติดสุดๆ เครื่องยนต์ไฮบริด โดยระบบ Auto Stop ของเครื่องยนต์จะหยุดทำงานทันที แต่ระบบแอร์ก็ยังให้ความเย็นอยู่ นอกจากนี้ ฮอนด้า ยังการันตีความประหยัดน้ำมันของ ซีวิค ไฮบริด ให้ความประหยัดน้ำมันมากขึ้น 22% เมื่อเทียบกับ ซีวิค
ธรรมดา 1.8 แม้ว่าเป็นตัวที่ไม่สูงมากนัก แต่หากใช้ในระยะยาวถือว่าให้ความประหยัดน้ำมันคุ้มค่ากว่ากันเป็นอย่างมาก
สำหรับรถฮอนด้า ซีวิค ไฮบริด วางขาย 2 รุ่นด้วยกัน คือ รุ่นไฮบริด ราคา 1,035,000 บาท และ รุ่นไฮบริด NAVI ราคา 1,095,000 บาท ถือว่าเปิดราคามาไม่แพงเมื่อเทียบกับได้เทคโนโลยีไฮบริดมาช่วยให้การขับขี่มีความประหยัดน้ำมันในยุคที่ราคาขายปลีกน้ำมันบ้านเรามีราคาแพง และยิ่งฮอนด้าให้การรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ ประกอบด้วย มอเตอร์ไฟฟ้า อุปกรณ์ควบคุม แบตเตอรี่ไฮบริดและระบบสายไฟไฮบริด เป็นระยะเวลา 5 ปี แบบไม่จำกัดระยะทาง และได้ขยายเวลาการรับประกันแบตเตอรี่เพิ่มอีก 5 ปี รวมเป็น 10 ปี นับว่าคุ้มค่าแล้ว